ภาษาไทยในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง
ภาษาไทย เป็นภาษาทางการของประเทศไทย และภาษาแม่ของชาวไทย
และชนเชื้อสายอื่นในประเทศไทย ภาษาไทยเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไต
ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาไท-กะได้ สันนิษฐานว่า
ภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน
และนักภาษาศาสตร์บางท่านเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับ
ตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต
ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของคำแน่นอนหรือวรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน
และออกเสียงแยกคำต่อคำ เป็นที่ลำบากของชาวต่างชาติเนื่องจากการออกเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคำและการสะกดคำที่ซับซ้อน
นอกจากภาษากลางแล้ว ในประเทศไทยมีการใช้ ภาษาไทยถิ่นอื่นด้วย
การเปลี่ยนแปลงของภาษา
ภาษาที่มีคนใช้พูดอยู่เป็นประจำย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
แต่การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปอย่างช้า ๆ ค่อยเปลี่ยนและกลายไปทีละน้อย
จึงไม่รู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลง
เราก็สามารถทราบได้โดยการเปรียบเทียบระหว่างภาษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันกับภาษาในอดีต
จะเห็นได้จากตัวอย่าง
ภาษาไทยมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ
ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้ในสมัยสุโขทัย
ก็มีการเปลี่ยนแปลงมาสู่สมัยอยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ตามลำดับ
เมื่อเราเปรียบเทียบอย่างนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนและจะเห็นการวิวัฒนาการของภาษาจากจุดหนึ่งมายังอีกจุดหนึ่ง
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตามภาวะและเทศะ
ซึ่งมีลักษณะ
เช่นเดียวกับมนุษย์หรือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ นั้นก็คือ
เกิด แก่ เจ็บ และตาย เป็นธรรมดา
คงจะเนื่องด้วยสาเหตุหลายอย่างที่ทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลง ได้แก่
๑ สภาพภูมิศาสตร์
ความเป็นอยู่ของมนุษย์ เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิศาสตร์ สภาพดินฟ้าอากาศ
ซึ่งมีอิทธิพลต่อภาษาของมนุษย์ เช่น ผู้อาศัยอยู่ในแถบอากาศหนาวจัด
ผู้พูดไม่เปิดปากเวลาพูด หรือ ผู้อยู่ในถิ่นภูมิประเทศที่แร้นแค้น
อาหารการกินไม่อุดมสมบูรณ์ เวลาพูดมีเสียงแข็งกระด้าง
ในขณะเดียวกับผู้อยู่ในถิ่นอุดมสมบูรณ์มักพูดมีเสียงอ่อนหวาน สาเหตุทางด้านนี้จะเปลี่ยนแปลง
ในลักษณะของเสียงพูดที่ "กระด้าง" และ
"อ่อนหวาน"
๒
ความสะดวกในการใช้ภาษา
การที่ภาษาเปลี่ยนไปโดยเฉพาะในเรื่องเสียงนั้น
คงเนื่องด้วยเมื่อผู้ศึกษาภาษาโบราณหรือภาษาเก่า อาจมีเสียงหรือประโยคที่ใช้
ซึ่งตนไม่สามารถออกเสียงได้ถนัด และคิดว่าภาษาโบราณนั้นยาก
จึงเปลี่ยนแปลงเสียงจากภาษาโบราณที่ยากเป็นเสียงที่ผู้เรียนถนัดก็ทำให้ภาษาเปลี่ยนได้
เป็นต้น
๓
การเรียนภาษาของเด็กอย่างไม่สมบูรณ์
ศาสตราจารย์
พระยาอนุมานราชธน ได้อธิบายถึงการพูดภาษาของเด็กไว้ ๕ ระยะ คือ
๑. ออกเสียงพูดให้เด็กได้ยิน
๒. เกิดเป็นรูปเสียงขึ้นในใจของเด็ก
๓. การเลียนออกเสียงพูดของเด็ก
๔. การจำรูปเสียงได้ของเด็ก
๕. รู้จักใช้อวัยวะออกเสียงเพราะจำได้
การพูดภาษาของเด็กทั้ง ๕ ระยะนี้
ย่อมมีลักษณะสมบูรณ์ได้ทั้งหมดหามิได้ เนื่องจากการเรียนภาษาเริ่มจากวัยที่เด็กมาก
อวัยวะในการฟังและออกเสียงย่อมต่างจากผู้ใหญ่ ความแตกต่างนี้จะมีขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคนจึงกลายเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน
๔
การเรียนรู้ชนิดตั้งแนวเทียบ (Analogy)
การเรียนรู้การตั้งแนวเทียบ (Analogy) คือ
การใช้ความรู้ที่มีอยู่แล้วเป็นแนวเทียบสำหรับเรียนรู้สิ่งใหม่ซึ่งยังไม่มีผู้สอนต่อไป
แนวเทียบเป็นเครื่องช่วยให้มีความสะดวกแก่การเรียนภาษาเป็นอันมาก
เด็กที่สอนพูดสามารถเรียนพูดได้เร็ว เพราะได้อาศัยแนวเทียบเป็นเครื่องช่วย เช่น
เมื่อเด็กได้ยินผู้ใหญ่พูดว่า ไก่ ๒ ตัว
และเด็กรู้ว่าตัวเป็นลักษณนามของสัตว์เด็กก็อาจเทียบได้ว่า เป็ด ๒ ตัว หรือ หมา ๒
ตัว โดยยังไม่เคยได้ยินผู้ใหญ่พูดมาก่อน
ขบวนการเรียนรู้ชนิดนี้ทำให้มนุษย์เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองมากมาย
แต่การเรียนรู้โดยวิธีนี้ย่อมไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะภาษาย่อมไม่มีกฎตายตัวที่แน่นอน
เช่น เมื่อเด็กได้ยินผู้ใหญ่พูดว่า คน ๒ คน และ เมื่อเด็กเห็นพระภิกษุ อาจพูดว่า
พระภิกษุ ๒ คน เพราะพระภิกษุเป็นคนลักษณนามก็ย่อมเหมือนกับคน
และอีกตัวอย่างในภาษาอังกฤษ เช่น
คำนามที่นับได้เมื่อต้องให้เป็นคำนามที่เป็นพหูพจน์สามารถเติม "S"
หลังคำนามตัวนั้นได้ เช่น books, cats เป็นต้น
เมื่อเด็กเห็นคำนามChild เมื่อต้องการทำให้เป็นพหูพจน์ก็ใช้วิธีการเรียนรู้ชนิดตั้งแนวเทียบโดยการเติม
"S" เป็น Childs จากการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงของภาษาต่าง
ๆ พบว่าการเรียนรู้ชนิดตั้งแนวเทียบเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภาษาเกิดมีการเปลี่ยนแปลงประการหนึ่ง
๕ จากสังคม
William Labov ได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า
ภาษาเดียวกันที่ใช้อยู่ในสังคมเดียวกัน
จะไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่จะแตกต่างกันตามสภาพของสังคมและบุคคล
การเปลี่ยนแปลงชนิดนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรูปใดรูปหนึ่งของหน่วยเดียวกัน
กลายเป็นที่นิยมของผู้ใช้ภาษาทำให้มีการเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
ทำให้ผู้รู้ซึ่งเคยเป็นผู้นิยมใช้มาก่อนมีผู้ใช้น้อยลงไป เช่น
ในวงการของสื่อสารมวลชนปัจจุบัน นิยมใช้คำหรือประโยคบกพร่องในภาษาไทย เช่น
สองผู้ต้องหา,
สองนักมวยไทย นี้ แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางภาษาที่เกิดขึ้น
๖ จากการยืม
การยืมสามารถทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลงได้มากในทุกระดับทั้งเสียง คำ
และโครงสร้างของประโยค เราจึงสามารถกล่าวได้ว่า "การยืม"
เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลงไป
ภาษาไทยกับวัยรุ่นไทย
สังคมเราในปัจจุบันนี้โลกเราได้มีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องอย่างมากในชีวิตของคนไทยเรา
ทำให้มีความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันรวมทั้งการสื่อสารด้วย
ซึ่งในประเทศไทยนี้เยาวชนยุคใหม่บางส่วนได้นำค่านิยมผิด ๆ มาใช้กัน นั้นก็คือการใช้ภาษาไทยที่ผิด
โดยเยาวชนกลุ่มนั้นคิดว่าเมื่อใช้แล้วมันเก๋ดี มันเท่ห์ดี
แต่หารู้ไม่ว่าอาจจะทำให้ภาษาไทยของเราเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงและทำให้เยาวชนยุคหลังๆใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้องตามไปด้วย
ประเทศไทยของเรามีภาษาเป็นของตนเองแสดงออกถึงความเป็นเอกราชและความภาคภูมิใจของคนไทยเรา
ภาษาไทยเป็นมรดกของคนไทยมายาวนาน
แต่เยาวชนยุคบางส่วนใหม่กลับไม่รู้คุณค่าของมันเลย
การใช้ภาษาไทยที่ผิด ๆ
ของวัยรุ่นนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้ภาษาไทยวิบัติลงไปจริง ๆ
ซึ่งจะเห็นได้จากที่วัยรุ่นใช้สื่อสารกันทาง msn เช่นคำว่า
ทามอะไรอยู่-ทำอะไรอยู่ เปนอะไร-เป็นอะไร เพราะคำเหล่านี้ทำให้พิมพ์ง่าย
สื่อสารกันได้เร็ว และดูเก๋ด้วย แต่ถ้าคิดอีกแง่มุมหนึ่ง การที่ภาษาไทย 1คำ
สามารถเขียนได้หลายแบบ เพราะภาษาไทยมีพยัญชนะที่ออกเสียงเหมือน ๆ กัน
มีสระที่เสียงคล้าย ๆ กัน จึงทำให้สามารถเขียนออกมาได้หลายแบบ
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาษาไทยนั้นสามารถดัดแปลง เปลี่ยนแปลงคำได้หลากหลาย
โดยที่ความหมายเหมือนเดิม แต่ลักษณะการเขียนผิดออกไป เป็นเสมือนการสร้างคำ
สร้างภาษให้มีการวิบัติมากขึ้น การใช้คำใช้ภาษาไปผิดๆ
ทำให้เป็นการฝึกนิสัยในการใช้ภาษาไทยที่ไม่ถูกต้องตามหลักภาษา
และฉันกลาพูดได้เลยว่าวัยรุ่นไทยสมัยนี้เขียนคำ สะกดคำในภาษาไทย
ได้ไม่ถูกตามตัวสะกด และเขียนภาษาไทยได้ไม่ถูกต้องตามหลักภาษา พูดไม่ถูกอักขระ
ไม่มีคำควบกล้ำ บางคนพูดภาษาไทยไม่ชัดเจนด้วยซ้ำไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น